ขนมจีนร้านนี้ผมตามมากินจากหนังสือครับ
เป็นร้านที่ต้องบอกว่าอยู่ในซอกหลืบ ไม่ค่อยมีใครสนใจ ไม่ค่อยมีใครเขียนถึง ซึ่งเจ้าของร้านเป็นลุงกับป้าช่วยกันขายสองคนเท่านั้น
แต่ในความไม่ค่อยมีใครสนใจ ขอบอกเลยว่ามีคนมาอุดหนุนร้านเยอะในระดับที่ร้านใหญ่ๆ บางแห่งยังต้องอายม้วน และนั้นพอจะเดาได้ว่าร้านนี้มันต้องมีอะไรเด็ดอย่างแน่นอน
จากประตูท่าแพ มาตามถนนราชดำเนิน จนถึงสี่แยกสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ให้เลี้ยวซ้ายมือ ขับรถไปตามถนนจ่าบ้านซักหน่อย ร้านจะอยู่ทางขวามือ มีต้นไม้ปกคลุมหน้าร้านบรรยากาศร่มรื่น ด้านหน้ามีโต๊ะวางที่ขายน้ำแข็งใสเป็นเอกลักษณ์ เปิดขายกันทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 -14.00 น.
ในร้านมีลุงกับป้าช่วยกันขายครับ (วันที่ผมไปมีคนมาช่วยด้วย น่าจะเป็นลูกสาว) ร้านแกเปิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ซึ่งถ้าเป็นเด็กก็คงเป็นหนุ่มเป็นสาวไปแล้ว โดยสูตรขนมจีน ลุงพงษ์ แกสืบทอดมาจากคุณย่าคุณยาย ก่อนจะมาขยายต่อความอร่อยในราคาอันแสนถูก
เมนูเด็ดของร้าน เป็นขนมจีนน้ำเงี้ยวครับ น้ำเงี้ยวร้านนี้จะไม่ใส่ดอกงิ้ว น้ำซุปเลือกใช้กระดูกหมูส่วนสันหลัง (เอียวเล้ง) เคี้ยวจนได้รสหวาน นำมาใส่ในน้ำพริกแกงที่ผัดกับเนื้อหมูสับที่คัดเฉพาะสันคอ ใส่เลือดหมู มะเขือส้ม และเครื่องปรุงอื่นๆ จนได้น้ำเงี้ยวรสเข้มข้น หวานกลมกล่อมจากกระดูกหมู กินกับขนมจีนเส้นสดเนื้อนุ่ม ถือว่าอร่อยลงตัวสุดๆ
นอกจากน้ำเงี้ยวรสเด็ดแล้ว กรณีถ้าเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ จะมีแกงเขียวหวานรสเด็ดมาเพิ่มอีกด้วย ซึ่งรสชาติก็อร่อยไม่แพ้กันกับน้ำเงี้ยว ความเข้มข้นของน้ำกะทิ กับเนื้อหมูนุ่มๆ รสชาติออก หวาน มัน ถือเป็นอีกจานที่น่าสั่งมาลิ้มลอง
ส่งท้ายด้วยของหวานล้างปาก น้ำแข็งใส ลอดช่อง สิงคโปร์ เย็นชื่นใจได้อารมณ์แบบดั้งเดิม เพราะป้าแกไสน้ำแข็งด้วยวิธีเก่าๆ โดยเอาก้อนน้ำแข็งใหญ่ วางลงไปแล้วไสไปตามเครื่องไสน้ำแข็ง
“ฟึดๆๆ” ช่างเป็นเสียงไสน้ำแข็งที่เร้าอารมณ์และความรู้สึกยิ่งนัก
อาหารอร่อย ขายกันแบบพออยู่พอกิน บริการเป็นกันเอง และอีกอย่างที่น่าชื่นชมเป็นเรื่องของการจัดการร้าน เพราะหลายๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แลดูสะอาดหู สะอาดตาดีมากๆ มิน่าล่ะลูกค้าร้านแกถึงได้เยอะสุดๆ ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินผ่านแถวนั้น จนต้องแวะมากินน้ำแข็งใสกัน
ลุงป้าสองคน ช่วยกันทำขนมจีนขายในสไตล์พอเพียง ด้วยเอกลักษณ์ในรสชาติ และความเป็นกันเองในแบบผูกมิตรไมตรี ใครคนนี้เริ่มหลงรัก “ขนมจีนลุงพงษ์” เข้าให้แล้วแหละครับ ท่านผู้อ่านที่รัก