เรียกว่าเป็นมหากาพย์กันเลยทีเดียวกับการตะลุยมาถึงกันขนาดนี้เป็นธรรมดาแหละครับที่นานๆ ทีจะเจออะไรที่มันตื่นเต้นในชีวิตจนเลือดลมฉีดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย
กลับไปทบทวนความจำกันซักหน่อย ถึงตอนนี้เราผ่านมาแล้วด้วยกันสองถ้ำ คือ ถ้ำเงิน และถ้ำกุ๊บ ถ้ำที่สามที่สุดท้ายรออยู่ข้างหน้า คือถ้ำแก้ว
เช่นเคย ทางเดินจากถ้ำกุ๊บไปยังถ้ำแก้วยังคงเลียบไปตามผา เป็นทางเดินขนาดเล็ก เดินได้คนเดียว ระยะห่างไม่ถือว่าอยู่ใกล้ๆ กันชนิดเดินแปบเดียวก็เป็นอันถึง
ถ้ำแก้ว มีลักษณะเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่พอควรกว่าสองถ้ำที่แล้ว มีปากถ้ำสองช่องด้วยกัน ฝั่งซ้ายมือจะใหญ่หน่อย เป็นรูปทรงคล้ายเจดีย์คว่ำ ส่วนขวามือจะมีขนาดเล็ก
ภายในถ้ำจะพบเห็นเจดีย์ขนาดเล็กอยู่ตรงกลางบนก้อนหิน ตัวองค์เจดีย์ถูกหุ้มด้วยผ้าเหลือง ตรงปลายยอดเจดีย์มีสายสิญจน์ผูกโยงดึงไปติดผนังถ้ำ ภายในถ้ำ ถ้าเข้าไปจะเป็นพื้นที่ต่ำกว่าพื้นด้านนอกตรงปากทางเข้า ข้างในมืด และดูลึกลับ มีหินงอกหินย้อยกันพอควร ส่วนเรื่องความลึก ของถ้ำไม่รู้ว่าไปสุดกันจุดไหน หรือเชื่อมต่อไปยังถ้ำอื่นๆ หรือเปล่ากรณีมีไฟฉายติดตัวมาด้วย ก็ต้องส่องดูกันอีกทีว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ และมันอันตรายกันขนาดไหน
จากจุดของถ้ำแก้วต่อไปข้างหน้า แลดูเหมือนว่าจะมีทางไปต่อข้างหน้าอีกสองทาง ทางแรกตรงไป ทางเดินไม่ค่อยชัดเจน เพราะมีหญ้าขึ้นรกจนหาไม่เจอส่วนอีกทางจะเดินลงจากถ้ำแล้วอ้อมกลับไปยังทางเดิมที่ผมมา แต่ไม่รู้ว่าจะไปทะลุกันตรงไหน สุดท้ายผมเลยตัดสิน ไม่เลือกทั้งสองทางแล้วเดินวกกลับมาทางเดิมดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็น่าจะปลอดภัย ที่สำคัญกลับไปตามหาฝาเลนส์กล้องด้วย เพราะฝาเลนส์มันหล่นกันแถวนั้น ตอนลื่นล้ม
เดินลงมาถึงครึ่งทางขากลับ มีแยกเล็กๆ สังเกตเห็นมีป้ายซุกอยู่ในพงหญ้าบอกทางชี้ไปยังถ้ำแก้ว แต่พอดูสภาพทางแล้วก็รกจนไปไม่ถูก เหมือนทางเดินอื่นๆ ที่เจอมาก่อนหน้านี้
สุดท้ายอยากฝากสำหรับคนที่อยากมาเที่ยวถ้ำผาต๊ะ แนะนำว่าขอให้มีเพื่อนมาด้วยซัก 3 คนขึ้นไปจะดี เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือกัน ไฟฉายต้องพกมาด้วย ยาฉีดกันยุงกันแมลงก็ต้องพก รองเท้าขอพื้นที่มันกันลื่นเยี่ยมๆ ใครกลัวหิวน้ำจะพกติดตัวไปซักขวดก็ย่อมได้ครับ กันไว้ (ระยะทางเดินไปกลับราวๆ 2 – 3 กิโลเมตร)
และอีกอันที่เหลือที่ห้ามลืมพกไปด้วยครั้งนี้ คือ “หัวใจ” ที่กล้าแกร่งครับ คุณผู้อ่านที่รัก