ผมมีความเชื่อว่าคนเราถูกสร้างมาเพื่อให้ถนัดบางสิ่ง และเก่งบางสิ่ง พูดง่ายๆ ก็คือพรสวรรค์นั้นแหละ
ของแบบนี้บางคนค้นเจอมาแต่เด็กก็ง่ายหน่อย ตอนเลือกเรียนมันจะง่ายกว่าชาวบ้าน เนื่องจากมีตัวเลือกไอ้ที่เราถนัดไว้ในใจแล้ว
กลับกันบางคนตามหาพรสวรรค์ หรือสิ่งที่ตัวเองถนัดมาค่อนชีวิตก็ยังไม่เจอ สุดท้ายเลยกลายเป็นเรือที่ไม่มีหางเสือไร้ทิศทาง
จะไปไหน ยังไง โดนลมพายุพัดไปก็ยังไม่รู้
ไอ้ที่ตามหาตัวเองไม่เจอว่าหนักแล้ว แต่ที่หนักกว่านี้กลับเป็นความไม่เข้าใจของพ่อแม่ผู้ปกครองที่คิดว่าลูกหลานตัวเอง โตไปต้องเป็นเจ้าคนนายคนอย่างเดียว หนำซ้ำยังถูกยัดเยียดให้เรียนและประกอบอาชีพในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
ข้าราชการ ทหาร พยาบาล ตำรวจ หมอ วิศวกร เหล่านี้เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ที่ถูกยัดห่าลงโปรแกรมของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลูก
และเมื่อถูกบังคับ ไม่เต็มใจ ใครมันจะไปทำหน้าที่ออกมาได้ดีล่ะครับ ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่ควรจะสอนลูกเต้า น่าจะเป็นไปในแนวทางที่บอกว่าเรียนอะไร ประกอบอาชีพอะไรก็ได้ ขอให้รัก มีความสุขที่ได้ทำ เลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด ค้นหาตัวเองเจอให้ได้ว่าถนัดอะไรที่สุด ชอบอะไรที่สุด แล้วก็ลงมือทำมันซะ
แบบนั้นน่าจะเข้าท่า?
ที่ต้องบ่นยาวเป็นหางว่าว (อีกแล้ว) แบบนี้ผมบังเอิญไปเห็นรอยยิ้มของชายขายไอติมแถววัดปู่เปี้ย รู้สึกว่ามันเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความสุข สุขที่พอใจในตัวเอง ทำนองกูเกิดมาเพื่อขายไอติม ที่สำคัญเขายังเต็มใจทำอย่างมีความสุขด้วย
ใช่แล้ว ผมสัมผัสได้ แม้จะสังเกตแค่ไม่กี่นาทีก็ตาม และนั้นน่าจะเป็นตัวอย่างของคนที่เกิดมาบางสิ่ง เพื่อทำอะไรบางสิ่งที่ตัวเองถนัดแล้วแม่งโคตรมีความสุข
สำหรับผมโชคดีหน่อยที่ว่าทางบ้านไม่บังคับ ปัญหาเหล่านี้ก็เลยไม่เกิด ซึ่งแม้ว่าเวลาเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นด้วยกัน เพื่อนจะกระโดดไปไกลตั้งหลายก้าว แต่ผมก็ยังพอใจในวิถีตัวเองอยู่ดีที่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองชอบ
ที่สำคัญมันเป็นคุณค่าทางจิตใจ เวลาเราได้ทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองรัก
หลังจากพาออกนอกฝั่งไปไกลจนแทบจะปรับเข็มทิศกลับเข้าฝั่งไม่เจอ ขออนุญาตหักโค้งเข้าเรื่องก่อนเลยล่ะกัน ประเดี๋ยวจะไปไกลกว่านี้
ให้หลังจากเห็นรอยยิ้มของคนขายไอติมแถวๆ วัดปู่เปี้ย ที่รอบๆ บริเวณมีช่างก่อสร้างหลายคนพากันก่อสร้างอะไรอยู่ใกล้ๆ วัด ซึ่งพอผมหาที่จอดมอเตอร์ไซค์แถวนั้นนได้ ก็ได้เวลาเดินลงมาสำรวจวัดว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
วัดปู่เปี้ย ตามที่นักประวัติศาสตร์ และกรมศิลปากรได้ศึกษาอายุสมัยของการสร้างองค์เจดีย์ปู่เปี้ยนั้น น่าจะอยู่ในรัชสมัยของพญาติโลกราช ในราว พ.ศ 1998 – 2068 ซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะแล้ว และมีลักษณะของวัดตามที่ผมได้สำรวจดังนี้
ภายในวัดประกอบด้วย วิหาร เจดีย์ อุโบสถ และส่วนประกอบปลีกย่อย อื่น ๆ เช่น แท่นบูชา และศาลผีเสื้อตั้งอยู่ด้านหน้า พระอุโบสถ วิหารและอุโบสถอยู่ข้างเคียงกันต่างหัน ทิศไปทางทิศตะวันออก โดยเฉพาะวิหาร มีร่องรอยของการก่อสร้าง ซ่อมกันมาหลายสมัย ส่วนองค์เจดีย์นั้นมีลักษณะ เป็นเรือนธาตุสูง ซึ่งเป็น ศิลปกรรมที่มีทั้งแบบสุโขทัยและแบบล้านนารวมกัน และ รับองค์ระฆังขนาดเล็ก องค์ระฆังและ ส่วนยอดเป็นศิลปกรรมแบบสุโขทัย ตั้งอยู่บริเวณที่เข้า ในว่าเป็นแนวคูน้ำคันดิน ด้านทิศตะวันตกของเวียงกุมกามอยู่ลึกลงไปจากผิวดิน ปัจจุบันประมาณ 2 เมตร
อนึ่ง จากการสังเกตวัดแห่งนี้มีเจดีย์คล้ายๆ กับวัดอีค่างที่อยู่ติดกัน แต่อย่างอื่นๆ โดยรวมแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างกันในส่วนของรายละเอียดกันอยู่เยอะพอสมควร
และในความต่างของเจดีย์ทั้งสองวัดที่แทบจะติดกัน บางทีอาจจะเป็นความต่าง ตามความถนัดในฝีมือช่าง ที่เขารังสรรค์ออกมาด้วยความถนัด และสุขใจงานของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ถูกยัดโปรแกรมให้ปฏิบัติตามเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ