ส่วนใหญ่ใครที่ขึ้นไปเที่ยวดอยสุเทพ หลักๆ ที่ต้องแวะระหว่างเส้นทางก็คงหนีไม่พ้นอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย และจากนั้นค่อยไปยังวัดพระธาตุดอยสุเทพ ส่วนจะต่อไปยังพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์, ดอยปุย หรือขุนช่างเคี่ยน อะไรนั้นค่อยว่ากันอีกที
ระหว่างทางขึ้นไปอันที่เป็นเรื่องรองๆ ลงมา ทำนองว่าจะแวะก็ได้หรือไม่แวะก็ได้นั้น ก็จะมีไปตั้งแต่เชิงดอยอย่าง น้ำตกห้วยแก้ว วังบัวบาน น้ำมณฑาธาร ผาเงิบ และวัดผาลาด (จริงๆ แล้วก็ควรจะแวะล่ะนะ เพราะไหนๆ ก็มากันแล้ว)
วัดศรีโสดา อีกหนึ่งสถานที่บนเส้นทางขึ้นดอยสุเทพที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยแวะกัน กล่าวคือ พอไหว้อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เสร็จก็พากันตรงดิ่งไปยัง วัดพระธาตุดอยสุเทพ กันเลย
แน่นอน คำถามกับตัวเองเกิดขึ้นในฐานะที่ยังไม่เคยมาวัดแห่งนี้ ว่าแท้จริงแล้วชาวบ้านคนอื่นไม่มีเวลา หรือว่าวัดไม่มีอะไรน่าสนใจ ซึ่งทางเดียวที่จะได้คำตอบจากเรื่องนี้ก็คือต้องลองแวะไปดู
จากอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยมาประมาณ 200 เมตร เป็นทางขึ้นของวัด ผมเลือกขึ้นมาทางบันไดนาคโดยจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ด้านล่าง
ประวัติความเป็นมาบอกไว้ว่า วัดศรีโสดา มีความผูกพันกับการสร้างถนนขึ้นบนพระธาตุดอยสุเทพ ในปี พ.ศ.2477 ตอนนั้น หลวงศรีประกาศ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ และผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ มีความคิดที่จะนำไฟฟ้าขึ้นไปติดตั้งบนดอยสุเทพ แต่ไม่มีงบประมาณ จึงได้ขอพึ่งบุญบารมีครูบาศรีวิชัย ซึ่งท่านเห็นด้วยแต่ขออธิษฐานดูก่อนว่าเป็นไป ได้หรือไม่ ท่านอธิษฐานถึง 2 ครั้ง ปรากฏว่าเป็นไปได้ยาก แต่การสร้างถนนขึ้นไปนั้นจะเสร็จเร็วกว่าจึงตกลงที่จะสร้างถนนขึ้นไปยังพระธาตุดอยสุเทพโดยมีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็นผู้ลงจอบแรกเป็นปฐมฤกษ์ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2477
ทั้งนี้ระหว่างการสร้างถนน ครูบาศรีวิชัยได้สร้างวัดขึ้นควบคู่กันไป 4 วัด โดยตั้งชื่อให้มีความหมายเกี่ยวโยงถึงขั้นคุณภาพที่ผู้ปฏิบัติธรรมพึงบรรลุ ได้คือมรรค ผล นิพพาน เทียบพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา 4 ชั้น วัดแรกที่สร้างคือ วัดโสดาบัน ต่อไปอีก 4 กิโลเมตร สร้าง วัดสกิทาคามี ถัดไปอีกเรียกว่า วัดอนาคามี ลำดับสุดท้ายบนยอดดอยสร้างอีกวัดหนึ่งเรียกว่า วัดอรหันต์
อนึ่ง วัดโสดาบัน ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วัดศรีโสดา ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานว่าเปลี่ยนในสมัยใดแต่น่าจะอยู่ในช่วง พ.ศ.2479 – 2509 สมัย ครูบาเสาร์ นารโท เป็นเจ้าอาวาส สาเหตุที่เติมคำว่า ศรี เข้าใจว่ามาจากชื่อครูบาศรีวิชัย เพื่อเป็นอนุสรณีย์ ยกย่องเชิดชู น้อมรำลึกคุณูปการที่ท่านสร้างวัดนี้ขึ้นมา
สิ่งที่น่าสนใจในวัดก็จะมี วิหารครูบาศรีวิชัย โดยวิหารหลังเดิมสร้างขึ้นสมัยครูบาศรีวิชัย พ.ศ.2477แล้วเสร็จสมบูรณ์ พ.ศ.2478 ได้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ต่อมาได้ทำการรื้อถอนก่อสร้างขึ้นใหม่ ลักษณะคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ทรงล้านนา พ.ศ.2535 แล้วเสร็จปี พ.ศ.2539 ชื่อว่า “วิหารครูบาศรีวิชัย” สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยกช่อฟ้า วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2539 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์พระประธานใน กว้าง 2 เมตร สูง 2 เมตร
ส่วนสถานที่อื่นๆ ในวัดก็มี เจดีย์ กว้าง 6.20 เมตร ยาว 6.20 เมตร ศาลาสองศรีอนุสรณ์ ศาลา ส.ว.สมเด็จพระบรมราชชนนี และวิหารอนุกูลพุทธานุสรณ์ (ศาลาจีน) รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าง รูปหล่อสัมฤทธิ์สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ รูปหล่อสัมฤทธิ์ครูบาเจ้าศรีวิชัย ไม้สักแกะสลักครูบาเจ้าศรีวิชัย พระพุทธรูปทองเหลืองปางสมาธิ ปางเลไลย์ และปางสีวลี รูปปั้นครูบาศรีวิชัยนั่งสมาธิ และหออารักษ์ (ศาลาพระเสื้อวัด)
หลังสำรวจดูแล้ว ในที่สุดก็ได้คำตอบกับตัวเองตั้งแต่ทีแรกว่า แท้จริงแล้ววัดไม่มีอะไรน่าสนใจ หรือใครๆ ไม่มีเวลา ซึ่งเอาตามที่ผมว่าคำตอบมันน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะครับ