ลุยสวนกล้วยกันไปพอหอมปากหอมคอ และหนีผึ้งร้อยรังต่อย (ล้อเล่น) กระผมก็จะขอพาท่านผู้ชม เอ๊ย ผู้อ่านมาต่อกันยังส่วนต่อไปภายใน สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กันครับ
จากแปลงรวบรวมพันธุ์กล้วย หรือ “Banana Avenue” มาไม่ไกลเท่าไรนัก ท่านก็จะพบกับในส่วนของ “เศวตพิมาน” แปลงรวบรวมพรรณไม้ดอกขาว ซึ่งคำว่า “เศวตพิมาน” หรือ วิมานสีขาวของเหล่าเทพ เป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงพรรณไม้ดอกขาวที่สวยงาม ทั้งไม้ยืนต้นและไม้พุ่มกว่า 200 ชนิด เช่น เสี้ยวขาว ราชาวดี เข็มขาว พู่จอมพล พวงขาว จำปี ดาหลาขาว ฯลฯ
ตัวอย่างที่เอามาให้ดูกันในภาพ คือ ดอกกระเจียวขาวไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรงมีเหง้าอยู่ใต้ดินและมีกลิ่นหอม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้หัวเหง้าและเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูงและมีแสงแดดจุด ซึ่งในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ตามป่าดิบทั่วไป ป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ บริเวณโคกและบริเวณป่าโปร่ง ออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายยอด โดยจะออกจากกลางลำต้น มีก้านช่อยาวประมาณ 7-30 เซนติเมตร ส่วนช่อดอกมีขนาดกว้างประมาณ 2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร ช่อดอกมีดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีขาว มีใบประดับเป็นสีเขียว ใบประดับส่วนยอดสีขาว กลีบดอกเป็นรูปไข่กลีบ มีสีขาวล้วนหรือมีสีม่วงหรือสีน้ำเงินแต้มอยู่ที่ส่วนปลาย ขอบกลีบหยักเป็นคลื่นๆ ดอกมีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมันแผ่เป็นแผ่นคล้ายกลีบดอกสีม่วงอ่อน และจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนธันวาคม
อีกอันเป็นดอกหน้าวัวสีขาว สายพันธุ์ ประเภท Anthurium andraeanum โดยมีลักษณะเป็นจานรองดอกสีขาว ดอกหน้าวัวเป็นไม้อายุหลายปี อวบน้ำลำต้นตรง โดยจะมีการแตกหน่อเลื้อยมีการเจริญยอดเดียว เมื่อยอดเจริญสูงขึ้นอาจพบรากบริเวณลำต้น โดยจะแตกเมื่อมีความชื้นเพียงพอ เนื่องจากเป็นพืชระบบรากอากาศสามารถดูดน้ำและความชื้นจากอากาศได้ดี
หลังจากผ่อนคลายกันไปในส่วนของ “เศวตพิมาน” เสร็จ ขับรถเรื่อยๆ มาตามเส้นทาง เราจะพาท่านไปยังส่วนต่อมาก็คือ Ornamental Garden สวนไม้ประดับ
Ornamental Garden สวนไม้ประดับ เป็นสถานที่จัดแสดงไม้ดอก – ไม้ประดับ ที่มีหลากหลายสีสัน ท่ามกลางทัศนียภาพอันสวยงาม รวมทั้งพันธุ์ไม้หายากของประเทศไทยและต่างประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย ซึ่งเหมาะแก่ผู้ที่หลงใหลในการถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแม้ว่าในช่วงนี้จะมีการปรับปรุงกันบ้างในหลายๆ ส่วน (รวมทั้งสวนสมุนไพรที่อยู่ใกล้ๆ ติดกัน) แต่วิวทิวทัศน์แถวนั้นยังสวยจนน่าปรบมือให้
ไว้ไปต่อกันตอนที่ 4 กับในส่วนของ “กลุ่มอาคารเรือนกระจก” กันครับ