หน้าหนาวสาวๆ กรี๊ดกราดกันแบบนี้ เป็นธรรมดาที่ใครๆ ต่างก็โหยหาสถานที่เที่ยวธรรมชาติกันในวันหยุด (หรือ วันธรรมดา) เพื่อหลีกหนีความเมื่อยล้าในชีวิตประจำวันจากการทำงาน หรือการร่ำเรียนอันเคร่งเครียด
สำหรับผมไม่รู้จะบอกว่ายังไงดี เพราะถ้าจะบอกว่าหนีจากความเมื่อยล้า มันก็ไม่ใช่ เนื่องจากมันรู้สึกเหนื่อยกันหนักกว่าเดิมและลำบากกว่าการนอนแคะสะดือเล่นที่บ้านอนึ่งในความลำบากที่ว่านั้นมันก็ยังมีข้อดีอยู่ก็คือ เราได้ออกมาเปิดหูเปิดตา
แน่ล่ะ ออกจากบ้านมาท่องเที่ยวกันแบบนี้ ไม่เรียกเปิดหูเปิดตาก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรกันดีครับ
กลับไปที่เรื่องหนาวๆ ที่สาวๆ ไม่ได้เอ่ยไว้แต่ต้น แต่ดันเป็นผม ตามปกติทั่วไปของคนส่วนมากเวลาอยากจะไปพักผ่อน ก็อยากจะเน้นสถานที่ท่องเที่ยวเดินทางใกล้ๆ สะดวก รวดเร็วดี มีวิวทิวทัศน์สวยงามนอนรออยู่ตรงหน้า อย่างคุณมาเชียงใหม่แล้วเลือกฐานบัญชาการเป็นที่พักในเมือง อยากจะไปเสพธรรมชาติต่างอำเภอบ้าง อ.แม่ริม มักจะเป็นตัวเลือกแรกๆ เสมอก่อนใครเพื่อน
ครบครันทั้งแบบธรรมชาติ และแอดเวนเจอร์ น่าจะเป็นคำนิยามสำหรับสถานที่ท่องเที่ยว ในอำเภอนี้
มาแม่ริม ส่วนใหญ่ก็มักจะโฟกัสไปที่ม่อนแจ่มกันล่ะครับในยามหนาวเช่นนี้ และผมพนันได้เลยว่ายิ่งใกล้ปลายปีเมื่อไหร่ ผู้คนก็ยิ่งจะล้นทะลักแห่กันไปเที่ยวอย่างแน่นอน (จากข้อมูลของคนรู้จัก)
แต่ก่อนที่จะถึงช่วงเวลาดังกล่าวนั้น กระผมขอปลีกตัวหนีมาเที่ยวก่อนใครในช่วงปลายฝนต้นหนาว ที่ผู้คนยังไม่ค่อยเยอะ ไม่ต้องเบียดแย่งกินแย่งเที่ยวกับใคร แม้ในช่วงเวลานั้นจะเสี่ยงถูกพระพิรุณสาดโครมลงมาก็ตามที
“ไม่ยอมเปียกฝน ก็ไม่เห็นสายรุ้ง” จำไม่ว่าเอามาจากหนังเรื่องไหน แต่เอาเป็นว่าใจความสำคัญของมันก็คือ ถ้าไม่ลุย จ้างก็ไม่ได้เจอธรรมชาติสวยๆ หรอก
ตามธรรมดาของคนขี้เกียจแบบผม ผมออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ในช่วงบ่ายโมงของวันด้วยแมงกะไซค์คู่ชีพ บิดรถไปยังไม่ถึงครึ่งทาง ก่อนจะจอดพักกินข้าวมื้อแรกของวัน ฝนก็ดันตกลงมาห่าใหญ่ซะแล้ว
“ฉิบหาย!”น่าจะเป็นคำสบถเดียวที่นึกออกตอนนั้น เพราะผมดันลืมเสื้อกันฝนไว้ที่บ้าน
แม่เจ้า! แล้วจะไปยังไงนั้น จะรอให้ฝนหยุดตกนานก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็จะมืดค่ำเอาซะก่อน ซึ่งในระหว่างรอไอ้ผมนี่ก็กระวนกระวาย เหมือนหนูโดนยาเบื่อใกล้สิ้นใจ สุดท้ายโชคยังพอเข้าข้างหลังจากฝนตกไปราวๆ ชั่วโมง ฟ้าก็เริ่มเปิดและทักทายว่านายออกเดินทางต่อได้แล้วเพื่อน
ครับ ผมนี่รีบอย่างไวเลย ประเดี๋ยวจะมือค่ำกันซะก่อน