ความเดิมจากตอนที่แล้ว
เกือบหกโมงเย็น ผมถึงตัวเมืองพิษณุโลก ตามโปรแกรมคือหาอะไรกินแล้วออกสำรวจเมืองซะหน่อยว่ามีอะไรให้ดูบ้าง
เท่าที่รู้มาพิษณุโลกมีตลาดไนท์พลาซ่า แหล่งช้อปปิ้งตอนกลางคืนที่วางตัวอยู่ริมแม่น้ำน่านใกล้แถวสะพานนเรศวร ซึ่งลักษณะทั่วไป ก็มีสินค้ามาขายอย่างเสื้อผ้าวัยรุ่น เครื่องประดับ รองเท้า ฯลฯ ดูๆไปของก็ไม่ค่อยเยอะ แถมร้านอาหารก็น้อย พอร้านอาหารน้อยก็ไม่รู้จะกินอะไร
มองซ้ายมองขวาหันไปเจอป้ายไฟ “หอยทอดเจ๊ฮวย เป็นอาหารขึ้นชื่อประจำจังหวัด รับประกันคุณภาพโดย คำรณ หว่างหวังศรี” ก็เลยลองไปชิมดูว่าจะเวิร์กมั้ย
รสชาติก็ถือว่า เยี่ยม คือถ้าให้เป็นคะแนนกระทะทอง เต็ม10 คงให้ไป 8 ล่ะกัน
พออิ่มท้อง ก็ถึงเวลาสำรวจเมืองในช่วงค่ำ จากการสังเกตผมพบสิ่งผิดปกติอย่างนึงในเมืองพิษณุโลก จำไม่ได้ว่าถนนเส้นไหน รู้แต่ว่าเส้นนั้นร้านแว่นเยอะมาก
เยอะชนิดที่ว่าใครสายตาไม่ดี มึงเดินเข้าไปถนนเส้นนั้น มึงมีแว่นสายตาติดมือกลับบ้านเลย คาดด้วยสายตาคร่าวๆมีอยู่ประมาน 8 -10 ร้าน แล้วแม่งร้านก็บริษัทซ้ำกันอีก
อย่างท็อปเจริญ 3-4 ร้าน บิวตี้ฟูล 3 ร้าน และอื่นๆอีก 3-4 ร้าน ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่า พวกมึงจะมีทำไมกันตั้งเยอะทั้งๆที่เป็นบริษัทเดียวกัน แบ่งๆไปที่อื่นบ้างก็ได้ ไม่ใช่ 7-11 นะเว้ย
ตกดึกมา หลังจากขับรถสำรวจในเมืองเสร็จ พอรู้ว่าไม่มีที่ไป ในขณะที่ตายังใสเป็นลูกแก้วไม่ง่วงนอน เลยออกจากที่พักมาข้างนอกหาไรกินอีกครั้ง
นั้นทำให้ผมได้เจอกับแก๊งเด็กแว๊นประจำเมืองพิษณุโลกราว 30 คัน ออกอาละวาด แถวสะพานนเรศวร แม่น้ำน่าน พลางเหลือบหาเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าหายหัวไปไหนกันหมด
เหวี่ยงสายตาไปเท่าที่เห็นก็มีแต่ “จ่าเฉย” ยืนหน้าหล่อตรงสี่แยกไฟแดง ซึ่งไอ้เราก็คงจะหวังพึ่งให้ “จ่าเฉย” ออกมากวาดล้างจัดการเด็กแว๊นมันคงเป็นไปไม่ได้
เท่าที่ทำได้คือ ปล่อย หน้าที่ใครหน้าที่มันจัดการกันเอา หน้าที่เด็กแว๊น คือสร้างความรำคาญให้ชาวบ้านชาวช่อง หน้าที่จ่าเฉย คือยืนหน้าหล่อตรงแยกไฟแดงสร้างความเกรงขามแก่ประชาชน และหน้าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคือต้องดูแลความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมือง ส่วนหน้าที่ของผมคือ กูจะไปนอนแล้ว
………………………………………………………….
หัวถึงหมอนไม่ทันไร ผมรีบแหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามืด ออกมาหาไรกิน (มึงกินอีกแล้วนะ) แถวตลาดตรงสถานีรถไฟพิษณุโลก ซึ่งเช้ามืดยังงี้น่าจะมีปาท่องโก๋ กาแฟ โจ๊ก หรือหมูปิ้งให้เลือกกินกันเยอะน่าดู
แต่ไอ้ที่ผมว่ามาข้างต้นผมไม่ได้กินซักอัน เพราะผมไปเจอร้านขายลาบหมู ในใจก็นึกว่า เออ เจ๊ ทำไมเจ๊มาขายลาบหมูแต่เช้าจัง
พอลองไปเลียบๆเคียงดูเลยลองชิม มองหาโต๊ะนั่งไม่มี เราก็อ่อ สงสัยจะใส่ถุงให้ แต่ เปล่าเลย เจ๊แกหยิบเอากระดาษมัน (ที่เหมือนใส่ห่อข้าวมันไก่) ควักข้าวเหนียววางลงไป
มองแรกๆนึกว่าข้าวเจ้า แต่มองดีๆมันเป็นข้าวเหนียว ก่อนจะตักลาบหมูใส่ข้างๆ ห่อใส่ถุงเสร็จสรรพ ยื่นให้ผม
ผมนิงงเลย งงว่า แล้วจะให้กูแดกยังไง ก็มึงเล่นห่อมาซะแบบนี้ จะแยกข้าว กับลาบก็ไม่ทำ ผมล่ะไม่เข้าใจเจ๊แกจริงๆ
อิ่มท้องแบบงงๆจากข้าวเหนียวลาบหมูตอนตี 5 ก่อนจะหากาแฟร้อนตบท้ายในมื้อเช้า ผมเลยแวะไปนั่งเล่นชมวิวแถวริมแม่น้ำน่าน ตรงสะพานสมเด็จนเรศวร
นั่งไปนั่งมาเสือกงีบหลับ งัวเงียตื่นขึ้นมาซักพัก ไปเจอลุงคนนึงแกมาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าๆ แกสงสัยว่าผมจะไปไหน เห็นมอ’ไซค์มีกระเป๋าเป้ แล้วทำไมมางีบหลับที่นี้ ไม่กลัวเด็กวัยรุ่นแถวนี้ มันจะทำอะไรเหรอ?
ผมบอกไปว่า “ผมจะไปเชียงใหม่ เพิ่งมาจากขอนแก่นเมื่อวานตอนสายครับ”
ดูลุงแกตกใจเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ขับมอ’ไซค์ไปเหรอ โอ้วว เก่งมากเลย ไปทางเด่นชัย จ.แพร่ ใช่มั้ย แถวนั้นขึ้นเขาโค้งเยอะ ยังไงก็ระวัง ดูแลตัวเองด้วยไอ้หนุ่ม”
ผมพยักหน้าตอบ “ครับๆ ขอบคุณครับลุง”
จบบทสนทนา ลุงแกเลยขอตัวไปวิ่งออกกำลังกายต่อ ส่วนผมนั่งเล่นอีกซักพัก มองนั้น มองนี้ไปเรื่อย อีกทั้งคิดว่าวันนี้จะไปเที่ยวไหนดีก่อนออกเดินทางต่อ
สองโมงเช้า ผมไปกราบไหว้พระพุทธชินราช ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เพื่อความเป็นศิริมงคลในชีวิต บรรยากาศในวัดคึกคักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศที่มาทำบุญ มากราบไหว้สักการะพระพุทธชินราช หลังจากนั้น ผมเดินเลยไปวัดนางพญาที่อยู่ติดกันไม่ไกล ไปสอดส่องดูหน่อยว่ามีอะไรสนใจรึเปล่า
เสร็จจากนี้ ผมขับรถแวะไปทางตอนใต้ของเมือง ไปดูวัดจุฬามณีที่มีโบราณสถานสำคัญคือ ปรางค์แบบขอมขนาดย่อม ก่อนวกรถกลับมายิงยาวมุ่งหน้าสู่อุตรดิตถ์ ตอนสี่โมงเช้า ในการเดินทางวันที่สอง
ไว้มาต่อกันกับตอนที่ 3 ครับ