แดดเปรี้ยงๆ ตอนเที่่ยงที่ตัวเมืองลำพูน ผมสักการะพระธาตุหริภุญไชยเสร็จ เดินถ่ายรูปเก็บนิดหน่อย ก่อนจะรีบบิดรถไปมุ่งหน้าสู่เมืองเชียงใหม่
เส้นทางจากลำพูนเข้าเชียงใหม่ขับรถไม่กี่อึดใจก็เข้าสู่ อ.สารภี ที่สองข้างทางรายล้อมไปด้วยต้นยางใหญ่ยาวหลายกิโลเมตร
ตามประสาคนขี้สงสัย ผมสงสัยว่าไอ้ต้นยางใหญ่นิมันปลูกหลังจากสร้างถนนเสร็จแล้ว หรือว่ามันมีมาก่อนถนนเส้นลำพูน-เชียงใหม่สร้าง
จากการวิเคราะห์ด้วยสมองก้อนน้อยๆ ผมเลยคาดว่ามันน่าจะปลูกหลังจากเขาสร้างถนนเสร็จแล้ว ชาวบ้านสมัยนั้นเลยปลูกเรียงรายสองข้างทางยาว ซึ่งอาจจะเป็นโครงการของ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ หรือท่านผู้ว่าสมัยก่อนคิดไว้ ปลูกต้นยางไปเพื่อความร่มรื่นย์สวยงาม สร้างเป็นเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น
บ่ายสองกว่าๆผมถึงตัวเมืองเชียงใหม่ในสภาพอากาศร้อนตับแลบ การจราจรคับคั่ง พยาธิในกระเพราะผมก็พากันเข้าแถวประท้วงบอกอยากแดกข้าว
โอเค๊ แดกก็แดก ว่าแต่จะกินอะไร มาเชียงใหม่เขาบอกว่าให้ไปกินข้าวซอย แต่ข้าวซอยร้านไหนล่ะมันอร่อย เพราะเท่าที่ขี่ผ่านมามันก็มีกันอยู่หลายร้าน
ที่มีเยอะสูสีไม่แพ้กันคือ ร้านก๋วยเตี๋ยว โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย ผมก็เพิ่งมารู้ว่าสุโขทัยมันมีก๋วยเตี๋ยวต้มยำขึ้นชื่อด้วยแฮะ
แต่ถ้าวันไหนผมมีโอกาสไปเที่ยวสุโขทัยแล้วไม่เจอ “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย” มาเสนอหน้ามาให้ลองชิม ระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน เพราะไอ้พวกร้านอาหารที่มีชื่อจังหวัด หรือสถานที่ลงท้าย พอเราไปที่จังหวัดนั้นจริงๆกลับหาไอ้ร้านพวกนี่ไม่เคยเจอ อย่างผมอยู่อุดร มีร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระไทเลยหลายร้าน แต่พอผมไปจังหวัดเลย เสือกหาร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระไทเลย แม่งไม่เคยเจอ และที่ผมรู้สึกรำคาญมากคือ ร้านขนมปังที่ชื่อ “ปังไหน…อ่ะ!” กับ “ปัง…อ่ะป่าว”
รำคาญเวลาหันไปเจอป้ายร้าน แล้วจินตนาการว่ามีพ่อค้าแม่ค้าที่ขายขนมปังยื่นหน้าถามด้วยประโยค “ปังไหน…อ่ะ!” กับ “ปัง…อ่ะป่าว” ด้วยสำเนียงกวนตีนแบบเด็กวัยรุ่นที่พูดไม่ค่อยชัด
ผมรู้เลยว่ามันคงกวนตีนสุดๆ ถ้าเด็กวัยรุ่นพูดยังพออนุโลม แต่นี้ถ้าเป็นผู้ใหญ่ แล้วมาพูดแบบนี้ อัตราความกวนส้นตีนจะทวีมากยิ่งขึ้น และอย่าลืมว่าเวลาพูดหน้าต้องได้
“ปังไหน…อ่ะ!” ,”ปัง…อ่ะป่าว” ,”ปังไหน…อ่ะ!” ,”ปัง…อ่ะป่าว” ,”ปังไหน…อ่ะ!” ,”ปัง…อ่ะป่าว” ,”ปังไหน…อ่ะ!” ,”ปัง…อ่ะป่าว” ,”ปังไหน…อ่ะ!” ,”ปัง…อ่ะป่าว”
“ปังพ่อมึงดิ” ผมจะตอบกลับไปแบบนี้ แม้ผมจะเป็นคนพิศวาสในรสชาติขนมปังทุกชนิด แต่สองร้านนี้ขอบายล่ะกัน ข้อหาชื่อร้านมันกวนตีน
นอกจากร้านขนมปังที่ตามหลอกหลอนมาหลายจังหวัดแล้ว ระหว่างทางจากขอนแก่นมาเชียงใหม่ ผมเจอร้านไก่ย่างวิเชียรบุรีมาตลอดเส้นทางด้วย
คือมีแทบจะทุกจังหวัดทุกอำเภอ ปาน 7-11 จนผมรู้สึกเหมือนมันตามหลอกหลอนว่า ถ้ามึงไม่จอดซื้อ กูก็จะตามมึงไปเรื่อยๆ จนกว่ามึงจะซื้อไก่กูกิน
ก่อนจะออกเส้นทางไปมากกว่านี้ ผมว่าเราแวะกลับไปที่เดิมอีกครั้งกันดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ
หลังจากหาที่กินข้าวนานแสนนาน สุดท้ายมาได้ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูคำหวานริมแม่น้ำปิง มาร้านก๋วยเต๊๋ยวก็ต้องกินก๋วยเตี๋ยวใช่มั้ยครับ แต่เปล่าเลย ผมกลับสั่งข้าวมากินแทนซะอย่างนั้น
เมนูเป็น ข้าวหมูย่างคำหวาน ก็ไม่รู้นะว่าไอ้คำหวานนิมันคืออะไร รสชาติหวานของหมูรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะหมูที่ย่างมามันก็ไม่หวาน น้ำจิ้มที่ติดมาให้ราดก็ออกเปรี้ยวปนเผ็ดนิดหน่อย
ฉะนั้นอย่าไปสนใจไอ้ “คำหวาน” เลยครับตอนนี้ เพราะหน้าที่หลักที่ต้องทำคือกิน ถ้าไม่กินมีหวัง ไอ้พวกพยาธิทั้งหลายจะกัดกินไส้ผมขาดซะก่อน
พอปากท้องเริ่มอิ่ม ภารกิจต่อไปคือ หาที่ซุกหัวนอน จากรายชื่อหอพักที่หาไว้ในอินเตอร์เน็ต 3-4 ที่ ผมไล่โทรเช็คอีกทีว่าห้องยังว่างมั้ย ปรากฏว่าห้องเต็มหมดเลยครับพี่น้องแม้ว
ผมหยิบแผนที่เชียงใหม่กางออกมา พร้อมปฏิบัติภารกิจหาหอพักในตัวเมือง ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกำลังค้นหาขุมทรัพย์ในทะเลทราย
3 ชั่วโมงผ่านไป ผมตระเวนขับรถหาหอพักจนเมื่อย งงกับถนนในตัวเมืองก็งง เส้นทางวันเวย์ก็เยอะ คำตอบที่ได้จากเจ้าของหอส่วนใหญ่ก็คือ “ห้องเต็ม”
ผมได้แต่บ่นพึมพำอยู่คนเดียวว่า “โอเค๊ เต็มก็เต็ม กูนอนรายวันไปก่อนก็ได้ว่ะ”
พระอาทิตย์ตอกบัตรเลิกงาน ได้เวลาพระจันทร์ทำงานแทนในยามมืด ผมพาตัวเองมาอยู่ที่ประตูท่าแพ นั่งคิดเรื่องราวย้อนหลังในอดีต ไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ตรงนี้ ในวันนี้
ผมหนีอดีตที่เจ็บปวดมาไกลในความหมายของระยะทาง แต่พอมาถึงกลับรู้สึกอ้างว้าง รู้สึกว่าถึงเราหนีมานี่ ที่ไกลแสนไกล แต่ทำไมยังรู้สึกว่ามันยังอยู่ตรงอดีตที่เดิมของวันวาน
แหงนมองท้องฟ้าในยามค่ำคืน ความมืดที่ครอบงำทุกส่วนในโลก และครอบงำความเจ็บปวดในหัวใจของใครที่ผิดหวัง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บเพียงลำพัง
ผมพยายามเก็บงำความเจ็บปวดไว้ และพอสติสตางค์เริ่มมา ปัญญาเริ่มเกิด ก็ทำให้รู้ว่า ที่จริงแล้ว เราต้องหนีใจตัวเองให้พ้น พ้นจากหลุมดำแห่งความทุกข์
และไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนในโลกนี้ หรือดาวอื่นในจักรวาล เมื่อเราก้าวข้ามมันพ้นไป ต่อให้เราอยู่ใกล้เธอคนนั้นแค่ไหน มันก็ไม่สะทกสะท้านใจ เพราะเราได้หนีใจมันพ้นแล้ว
แต่ถ้ายังหนีอดีตและลืมไม่ได้ ก็โปรดเลือกจดจำอดีตในสิ่งที่ดีทดแทน อย่างน้อยบางห้วงอารมณ์ มันก็ทำให้เราอมยิ้มได้บ้าง
และหากจะกลับไปตอบคำถามย่อหน้าแรกที่ว่า “ทำไมต้องเชียงใหม่? นั่นสิ ทำไมต้องเชียงใหม่?”
คำตอบที่ได้คงเป็น “จะเชียงใหม่หรือที่ไหนไม่สำคัญ มันสำคัญที่หนีใจให้ได้ต่างหาก”