หลังจากตัดสินใจไปว่าจะลุยกันต่อ ความแน่วแน่ต้องมีแนบติดตัวไว้ และคงไม่มีอะไรมาทำให้เราไขว้เขว้
ผมมุ่งหน้าเดินทางต่อขึ้นไปยังถ้ำ จากจุดเริ่มต้นขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นทางลาดชันและลื่น มีหญ้าขึ้นรกจนแทบจะหาทางเดินไม่เจอ บรรยากาศค่อนข้างที่จะวังเวง มีเสียงแมลงร้องดังให้สั่นประสาท อากาศค่อนข้างที่ชื้นและเย็นนิดๆ และเมื่อเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เริ่มทวีคูณหนักมากกว่าเดิม จะเว้นเสียแต่เสียงแมลงที่ร้องกันเบาลง
ยิ่งเดินขึ้นไปก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมาผิดทางหรือไม่ หรือมันเปิดให้เที่ยวรึเปล่า เพราะทางมันรกมาก รกจนรู้ได้เลยว่าไม่มีคนเดินมาแถวนี้จะเป็นเดือนแล้ว
ก่อนไปถึงจุดหน้าผา ผมมีแอบลื่นนิดๆ ดีที่ยังไม่เป็นอะไรมาก ก่อนจะยืนพักเหนื่อยแปบเดียว และมองไปข้างหน้าว่าจะไปยังไงต่อ และเจออะไรบ้าง
ทางเดินจากจุดนี้ไปจะเลียบไปตามหน้าผา ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นเดียวจะลื่นตกลงไปเป็นอันตราย จากป้ายบอกตั้งแต่ออกเดินทางมา จะมีด้วยกันอยู่ 3 ถ้ำ คือ ถ้ำแก้ว ถ้ำเงิน ถ้ำกุ๊บ ซึ่ง 3 ถ้ำนี้ จะเป็นถ้ำเล็กๆ ที่บรรจุอยู่ในถ้ำผาต๊ะ
อนึ่งก่อนออกลุย ขอเสริมความรู้ซักนิด คำว่า ผาต๊ะ หรือ ปาต๊ะ เป็นภาษาท้องถิ่น ตามกิริยา คือการเอาไปทาบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นมือ และเนื่องจากที่นี่ค้นพบ รอยพระพุทธหัตถ์ (ตรงบริเวณด้านล่างก่อนเดินขึ้นมายังถ้ำ) ก็เลยตั้งชื่อว่า ถ้ำผาต๊ะ
วกกลับมายังภารกิจ ไปลุยกันที่ถ้ำแรกกัน ชื่อถ้ำเงิน ทางเดินเข้าถ้ำต้องปีนบันไดขึ้นไปสูงราว 3 เมตร เป็นบันไดไม้ไม่อันตรายมาก ขึ้นไปถึงส่องเข้าไปด้านใน มืดพอควร ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในนั้นบ้าง และสมควรจะเข้าไปหรือไม่ เพราะไม่มีไฟนำทาง กอปรกับใจคอไม่ค่อยดีด้วยบรรยากาศที่วังเวงจนน่ากลัวแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน นั่นจึงทำให้ผมไม่กล้าเข้าไปต่อ เพราะกลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นไม่ดี แถมมาคนเดียวแบบนี้ มันแย่แน่ๆ
ทั้งนี้ ถ้าจะให้สรุปกันสั้นๆ ถึงสาเหตุหลักใหญ่ๆ เลย คือ “กลัว” กลัวกับสิ่งที่เราคิดไม่ถึงในความมืด และความไม่รู้ จนคาดเดาไม่ถูก ใครเจอสถานการณ์แบบนี้คงพอนึกออกกันโดยเฉพาะถ้าเป็นคุณเป็นคอหนังสยองขวัญ หรือหนังผี คงเข้าใจประโยคที่บอกว่า "หนังผีที่น่ากลัวที่สุด คือหนังผีที่ไม่เห็นผี"เป็นอย่างดีเลยล่ะ
ว่าแต่ตอนนี้ผมชักจะรู้สึกแล้วล่ะว่า ตัวเองจะเจออะไรมากกว่าผี และอย่างอื่นๆ ที่คิดกลัวขึ้นมาเองซะแล้ว
ไปตามกันต่อกับตอนที่ 3 ครับ