เกือบ 40 นาที ใช้เวลาตระเวนเดินชมความงามของนางพญาเสือโคร่งเสร็จ ก็ได้เวลาลุยกันต่อเพื่อเดินทางไปยังห้วยตึงเฒ่า อันเป็นจุดหมายปลายทางของทริปนี้
ก่อนไปเพื่อความชัวร์ มีสอบถามเส้นทางจากเจ้าหน้าที่แถวนั้น แกบอกจากสถานีขับต่อไปเดี๋ยวจะเจอสามแยกไปบ้านม้งขุนช่างเคี่ยน แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปห้วยตึงเฒ่ากันเลย
ขับไปถึงสามแยก เกิดอาการลังเลสองจิตสองใจ ว่าจะไปบ้านม้งขุนช่างเคี่ยนดีมั้ย เพราะตอนนั้นก็ใกล้จะห้าโมงเย็นกันแล้ว สุดท้ายไหนๆ ก็มาแล้ว แวะไปดูซักหน่อยคงไม่เป็นไรซัก 10 นาที
10 นาที ก็คือ 10 นาที จริงๆ ในการสำรวจ บริเวณบ้านม้งขุนช่างเคี่ยนเท่าที่เห็น เป็นหมู่บ้านชาวม้ง มีร้านรวงขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ที่พักต่างๆ ไว้รองรับนักท่องเที่ยว ถ้าใครเคยไปบ้านม้งดอยปุย อารมณ์แทบไม่หนีกันเท่าไหร่
และแล้วก็ได้เวลาแห่งการโบกมือลาขุนช่างเคี่ยน ผมขับรถเข้าสู่เส้นทางแรลลี่ที่จะมายังห้วยตึงเฒ่า สภาพถนนช่วงนี้ ไม่ต่างจากทางไปไร่ไปนาตามชนบทกันเลยครับ สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้ที่ไม่หนามาก สลับกับสวนลำไยชาวบ้าน ถนนบางช่วงเป็นทางน้ำไหลของลำธารในช่วงหน้าฝน สังเกตได้จากก้อนหินตามถนนขนาดเท่าหัวลูกหมา
ในช่วงขับรถลงมา ผมน่าจะมีเพื่อนร่วมทางเป็นมอเตอร์ไซค์แบบธรรมดาประมาณ 3 – 4 คัน ส่วนรถยนต์นั้นน่าจะมีแค่ 2 การขับขี่ถือว่ายากพอควร จนเกิดอาการเมื่อยแขน ยิ่งตัวเองมีบาดแผลที่มือหลังขับมอเตอร์ไซค์ล้มใหม่ๆ อันนี้ยิ่งหนักกันไปกว่าเดิมครับ
เกือบจะหกโมงเย็นพาตัวลงมาจากขุนช่างเคี่ยนสำเร็จแบบทะลักทุเล พร้อมมีมอเตอร์ไซค์วิบากขับแซงหน้าให้อิจฉาเล่น 4 – 5 คัน ว่ายางรถมันเจ๋งและเหมาะสมกว่ากับสภาพถนนแบบนี้ (ถนนเป็นทรายนิดๆ) โดยบริเวณรอบๆ ก่อนเข้ามายังห้วยตึงเฒ่า มีวิวภูเขา และทุ่งนาให้ได้ชมกัน ถือว่าคุ้มพอสมควรกับการขับฝ่าด่านทะลุลงมา
ห้วยตึงเฒ่า ในยามเย็นถือว่ามีเสน่ห์ไปอีกแบบ ผู้คนแวะมาพักผ่อนพอสมควรไปกับการชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาติดอ่างเก็บน้ำ ท่ามกลางอากาศอันบริสุทธิ์
7 ชั่วโมง ตั้งแต่ช่วงสายของวันยันมือค่ำ เป็นอันว่าผมพาสังขารตัวเองพิชิตภารกิจสำเร็จแบบทุลักทุเล ด้วยความลำบากทั้งจากสภาพเส้นทางและสภาพร่างกาย
อากาศหนาวบนดอย, นางพญาเสือโคร่ง, ห้วยตึงเฒ่า และถนนแบบไม่ต่างจากแรลลี่ดาการ์ นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งทริประห่ำในความทรงจำของตัวเองประจำปี 2557 ครับ
ปล.ใครจะไปดูดอกนางพญาเสือโคร่ง อย่าลืมโทรเช็คกับเจ้าหน้าที่อุทยานก่อนไปว่ายังบานอยู่หรือไม่