วัดพระธาตุจอมแตง

DSCF6280

วัดเล็กๆ แต่บางทีก็มีเรื่องเล่าที่ไม่เล็กให้ได้ศึกษาเรียนรู้กัน อย่างวัดพระธาตุจอมแตง ใน อ.แม่ริม ที่ผมมีโอกาสมาเที่ยวและเก็บภาพมาฝาก

อย่างที่เกริ่นไปบรรทัดแรก ว่าด้วยเรื่องเล่าที่ไม่เล็ก เพราะหลังจากการศึกษาและมาเที่ยว พบว่าวัดแห่งนี้มีอะไรน่าสนใจอยู่พอสมควร

DSCF6295

ตามหนังสือแม่ริมระบือ บันลือแม่สา และหนังสือที่มีหลวงปู่พระครูสุภัทรคุณ (หลวงปู่คำปัน  สุภัทโท) อดีตเจ้าคณะตำบลสันโป่ง ได้แต่งไว้เมื่อปี พ.ศ. 2490 ได้กล่าวไว้ว่า จากการได้สืบประวัติและการเล่าสืบๆ ต่อกันมาว่า วัดแห่งนี้ได้มีประวัติเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล กล่าวคือ ตามตำนานเล่าขานกันมาเกี่ยวกับวัดพระธาตุจอมแตง ไว้ว่า ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ได้มีพุทธดำริว่า เราตถาคตจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคงถาวรจนถึง 5,000 วัสสา โดยถือเอาดินแดนปัจจันตประเทศแห่งดินแดนสุวรรณภูมิต่อไปภายหน้าจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงถาวร พระพุทธองค์จะต้องเสด็จไปยังดินแดนดังกล่าว เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าพร้อมเหล่าสาวกติดตามพระองค์เข้าสู่นิคมน้อยใหญ่ตามลำดับ จนถึงแคว้นกุมภะมิตรนคร (อำเภอฝาง) พระองค์ได้พบยักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า โสกยักษ์ เป็นยักษ์ ที่มีความเกเร ชอบเที่ยวกินเนื้อมนุษย์อาหาร พระองค์ได้แสดงธรรมโปรดยักษ์ตนนั้นจนซาบซึ้งในรสพระธรรม เมื่อยักษ์ตนนั้นได้ฟังธรรมเทศนาแล้ว จิตใจก็เข้าถึงบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ มีความสะดุ้งเกรงกลัวต่อบาป และได้สละสิ้นทุกอย่าง ได้ไปถือศีลในถ้ำแห่งหนึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นถ้ำตับเตาในปัจจุบันจนถึงกาลดับไป

DSCF6285

พระพุทธองค์พร้อมพระสาว เสด็จลงมาตามลำน้ำแม่ระมิงค์ จนถึงถ้ำหลวงเชียงดาว และเสด็จมาสว่างที่เขาแห่งหนึ่งในเขตอำเภอแม่แตง สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่า จอมแจ้ง ครั้นเมื่อกระทำพุทธกิจเสร็จ ทรงระลึกถึงพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว คือ พระพุทธเจ้ากุกกุสันโธ พระพุทธเจ้าโกนาคมโน พระพุทธเจ้ากัสสะโป ที่ได้ประดิษฐานรอยพระบาทไว้ทุก ๆ พระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปยังเขาแห่งนั้นเพื่อทรงอธิษฐานประทับรอยพระบาทซ้อนลงไปเป็นรายที่ 4 สถานที่นั้นจึงได้ชื่อว่าพระพุทธบาทสี่รอย ต่อจากนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จมาตามไหล่เขาจนบรรลุถึงเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของฝูงแรด (ดอยขี้แรด หรือเขาขี้แรด) ห่างจากดอยขี้แรดไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร มีพวกลั๊วะปลูกบ้านอาศัยอยู่และทำไร่ทำสวนใกล้ ๆ กับเชิงเขานั้น เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงบนเขาขี้แรดพร้อมเหล่าพระสาวกเป็นเวลาใกล้เที่ยง ขณะนั้นมีลั๊วะสองตายายกำลังทำสวนอยู่ที่เชิงเขา ได้เห็นพระองค์เสด็จมากับพระสาวก ก็เกิดความปลื้มปีติมาก จึงได้หอบหิ้วเอาแตงกวาขึ้นไปถวาย เมื่อพระองค์รับแตงกวาเหล่านั้นแล้ว ก็ทรงถวายแก่พระสาวกกันจนครบ ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์บารมีของพระองค์ได้ทรงอธิษฐานลูกแตงกวาไว้ 1 ลูก

DSCF6280

หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงโปรดสัมโมทิยคาถาด้วยพระโอษฐ์อันมีเสียงพระสุระเสียงอันไพเราะ แก่ลั๊วะสองตายาย เมื่อลั๊วะสองตายายลากลับแล้ว พญาแรดพร้อมหมู่บริวารที่พากันอาศัยอยู่ตาม เชิงเขาก็ถือโอกาสพากันมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงโปรดอนุเคราะห์ด้วยพระเมตตาธรรม เมื่อพญาแรดและบริวารกลับไปแล้ว พระพุทธองค์ทรงตั้งจิตอธิษฐานถอนพระเกศาใส่ลงไปในลูกแตงกวาที่เหลือ และทรงกระทำอาการแย้มพระโอษฐ์ เหล่าพระสาวกได้เห็นเช่นนั้นก็พากันทูลถามว่าเหตุใดพระองค์ทรงกระทำอาการเยี่ยงนั้น พระองค์ก็ตรัสว่าต่อไปภายหน้าสถานที่นี่จะมีชื่อว่า “พระธาตุจอมแตง” จากนั้น เมื่อไปถึงพระนอนขอนม่วง ก็ทรงบรรทมที่นั่น ต่อจากนั้นได้เสด็จไปถึงวัดพระพุทธบาทตากผ้า ก็ได้เอาผ้าจีวรให้พระอานนท์ตากที่นั่น จากนั้นก็พาหมู่พระสาวกไปทั่วทุกหนทุกแห่งเท่าที่พระองค์มีความประสงค์ที่จะเสด็จไป แล้วเสด็จกลับชมพูทวีปจนถึงเมือกุสินารา เพื่อเสด็จดับขันธปรินิพพาน

DSCF6274

กล่าวถึงลั๊วะสองตายายได้เล่าเรื่องที่ตนพบเห็นพระพุทธเจ้าให้ลูกหลานฟัง ลูกหลานได้ฟังก็ดีใจพากันส่งเสียงร้องเพื่อให้รู้กันทั่วเลยเกิดมีเสียงโกลาหลเป็นการใหญ่ ต่อมาหมู่บ้านนี้จึงได้ชื่อว่า “บ้านสันลั๊วะออ” ได้ชักชวนกันจะไปเฝ้าพระพุทธองค์เมื่อไปถึงปรากฎว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จไปแล้วคงพบแต่แตงกวาที่ใส่พระเกศาไว้เท่านั้น พวกลั๊วะเหล่านั้นต่างก็ยกแตงกวามาตั้งไว้ในที่อันควรเพื่อกราบบูชาโดยขุดหลุมลึก 1 คาวุธ แล้วสร้างมณฑปครอบไว้ ทุก ๆ วันพระจะพากันมาไหว้สวดมนต์ภาวนา

DSCF6275

ในส่วนของการสร้างวัด ไม่ได้ปรากฏผู้สร้างวัดที่ชัดเจน แต่สันนิษฐานกันว่าประมาณปี 2275 ได้มีพระมหาเถระ 2 รูป เดินทางมาบำเพ็ญบารมีธรรมที่แห่งนี้ และได้ชักชวนชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ร่วมกันสร้างเจดีย์ครอบมณฑปเดิมที่มีความทรุดโทรม ปรักหักพังเอาไว้ ซึ่งมณฑปนั้นมีขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร สูง 4 เมตร ติดกระจกแบบศิลปะพม่า ซึ่งมีลักษณะเป็นประตูโขงทั้ง 4 ด้าน แต่ละด้านจะมีรูปเทพพนม นางกินรี รูปสิงห์ รูปมอม ก่อเป็นรูปทรงเจดีย์อยู่ด้านบนประดับด้วยแก้วอย่างวิจิตรงดงาม โดยเจดีย์ที่ครอบมณฑปนั้น ปัจจุบันได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาหลายครั้ง