ผมได้ยินมาคร่าวๆ ว่าลาบไก่แถววัดพันแหวนอร่อย แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน
ให้ตายเถอะขนาดวัดพันแหวน ยังไม่เคยมาเลย สุดท้ายพอดูแผนที่ อ้าว ตูผ่านมาได้ไงว่ะ แถมผ่านเกือบทุกวัน ตามคาดผมไม่ปล่อยให้หลุดมือเป็นแน่แท้ ในการแวะมาสำรวจ
เดินเข้ามาวัด บรรยากาศเงียบกริบ สงบดี มองซ้ายเจอลานโพธิ์ ลานธรรม มองขวาเจอองค์พระเจดีย์ มีวิหารรอการบูรณะใหม่ให้สวยงาม ใกล้ๆ กันหน่อยเป็นอุโบสถ
ในส่วนของการอธิบายถึงการตั้งชื่อวัดพันแหวน น่าจะมาจากการสร้างโดยขุนนางระดับ “พัน” ซึ่งมีสร้างวัดพันแหวนในปี พ.ศ. 2060 สำหรับข้อมูลอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่มีให้ไดัจับต้องกันครับ
หลังจากเดินสำรวจภายในวัดได้ซัก 15 นาที แล้วก็ให้พบว่าวัดแห่งนี้รอการบูรณะหลายๆ อย่างให้เสร็จสมบูรณ์สวยงาม
ขากลับผมออกมาทางถนนเส้นทะลุมายังแว่นท็อปเจริญประตูเชียงใหม่ เผอิญเจอร้านกล้วยปิ้งคุณยายเลยจอดแวะซื้อ ชุละ 20 บาท ได้กล้วยปิ้งเสร็จ คุณยายก็ส่งรอยยิ้มให้ และที่ผมซื้อไม่ได้ซื้อเพราะสงสารนะ แต่ซื้อเพราะมันน่าอร่อย
ขายของได้เพราะคนสงสาร กับขายได้เพราะผลงานตัวเองล้วนๆ อย่างหลังน่าภูมิใจกว่ากัน
ได้กล้วยปิ้งเสร็จ ขับรถกลับอยู่ดีๆ สมองผมก็เกิดคำถามขึ้นบางอย่าง ที่ไม่ค่อยได้เกี่ยวกับวัดพันแหวน หรือร้านกล้วยปิ้ง กันซักเท่าไหร่
เคยสงสัยมั้ยครับว่าทุกวันนี้เราเรียนหนังสือไปทำซอกตึกอะไร และทำงานไปเพื่อแมวน้ำอะไร
ผมรู้สึกว่าสองสิ่งนี้มีเป้าหมายด้านมืดที่ผมคิดคล้ายๆกันคือ เงิน!
เราเรียนหนังสือเป้าหมายหลักคือการเรียนรู้สิ่งต่างๆในชีวิต เป้าหมายรองก็คือเป็นทางสานต่อในวิชาชีพของการทำงานตนเอง ส่วนการทำงาน เราทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เพื่อให้สุขภาพปากท้องเป็นอยู่อย่างสะดวกสบาย
สังเกตมั้ยครับว่าจุดมุ่งหมายทำไมมันตรงดิ่งมาที่เงิน
เงินสามารถซื้อความสุขได้…? ส่วนจะได้จริงหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองใครมุมมองมัน
จริงอยู่ที่เงินสามารถซื้อความสะดวกสบายในชีวิตได้ ประมาณว่า “เงินมา ปัญหาหมด เงินหด ปัญหามา” แต่เรื่องของความสุขใครจะกล้ารับประกันว่ามันซื้อได้
ถ้ามนุษย์ทุกคนมีความเป็นอยู่สุขสบาย (ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก) มนุษย์จะถวิลหาสิ่งใดกันเล่า?
ชื่อเสียง ลาภยศ เงินตรา หรือว่าความสุข
สุดท้ายรอยยิ้มของคุณยายขายกล้วยปิ้งหน้า วัดพันแหวน ก็ลอยมาหาผม มันเป็นคำตอบกลายๆ ที่ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตถ้าเราไม่ยึดติดกับเงินตรา การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ นั้นแหละเป็นความสุข สุขแบบไม่มีข้อยกเว้นอะไรมาขัดแย้ง