ผมเดินขึ้นจากลำธารแล้วเดินตามเชิงเขา ก่อนวกลงมาลำธารอีกครั้ง หลังผ่านออบไฮไป โดยที่ต่อไปข้างหน้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผาตูบมันไปทางไหน ยังไง แต่งานนี้ขอเน้นเส้นทางเดินเท้าเลียบลำธารไปก็แล้วกัน อย่างน้อยๆ วิวแถวนี้มันก็สวยกว่า
ผมเดินลัดเลาะกันมาเรื่อยๆ ครับ ถนนหนทางมีรกบ้างไม่รกบ้าง ลำน้ำบริเวณนี้ค่อนข้างที่จะมีน้ำตื้นและน้ำน้อย แตกต่างจากช่วงแรกๆ ตั้งแต่ออบขานที่เดินผ่านมาที่แถวนั้นน้ำเยอะ ลึก และไหลแรงกว่าหลายเท่า
นอกจากเรื่องของลักษณะลานหิน และเรื่องน้ำแล้ว แถวนี้บริเวณชายฝั่งจะเป็นดินทรายสีขาวครับ คล้ายๆ กับทรายที่อยู่ทะเล อีกทั้งต้นไม้ใบหญ้าริมฝั่งลำธารแลดูคล้ายกับป่าชายเลนยังไงยังงั้น อันนี้ถือเป็นเรื่องพิเศษ และงดงามของธรรมชาติที่นี่ที่มีให้ดูกันอย่างหลากหลาย
เดินไปเดินมาได้ซักพัก ผมก็พาตัวเองมายังบริเวณโค้งหักศอกของลำธาร ซึ่งตรงนี้ภายหลังเพิ่งมาทราบว่ามันคือ ห้วยหญ้าไซ อันเป็นจุดที่น้ำแม่ขานเปลี่ยนทิศทางการไหลโดยลำน้ำหักมุมโค้งเกือบ 90 องศา กระแสน้ำจึงไหลช้า ตรงกลางและสองฝั่งลำน้ำมีโขดหินน้อยใหญ่สลับกับต้นหญ้าไซขึ้นอยู่จำนวนมากอันเป็นที่มาของชื่อ “ห้วยหญ้าไซ” นอกจากนี้ฝั่งขวาของลำน้ำเป็นไหล่เขาสูง ทางอุทยานแห่งชาติได้สร้างจุดชมทิวทัศน์ซึ่งสามารถชมทัศนียภาพที่สวยงามและเห็นสายน้ำแม่ขานที่ไหลคดเคี้ยวได้อย่างชัดเจนและเหมาะแก่การถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก
อยู่ตรงห้วยหญ้าไซได้ซักครู่ ผมเหลือบมองดูนาฬิกา เป็นอันว่าห้าโมงเย็นแล้วเรียบร้อย ฉะนั้นเรื่องคิดจะเดินไปผาตูบ คงคิดว่าไม่ไปแล้วดีกว่า เพราะเดี๋ยวมันจะมืดค่ำ อีกอย่างก็ยังไม่แน่ใจด้วยว่ามันเดินกันไปทางไหน และอีกเมื่อไหร่จะถึง (มารู้ทีหลังว่าจากห้วยหญ้าไซไปประมาณ 500 เมตร จะถึงผาตูบ ห่าลากกันจริงๆ แต่ช่างมันคราวหลังไว้ไปใหม่)
พระอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้า ผมเริ่มเดินย้อนกลับมายังเส้นทางเดิม ก่อนจะวกเดินไปตามเชิงเขาตรงออบไฮไปจนถึงที่ทำการอุทยานอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวจะมืดค่ำกันจนมองไม่เห็น
20 นาทีเห็นจะได้ ก็เป็นอันว่าพาตัวเองมาถึงที่จอดรถมอเตอร์ไซค์เสร็จ จากนั้นผมก็ค่อยๆ ขับรถออกมาจากตัวอุทยานแห่งชาติออบขาน เป็นอันว่าได้เวลาเดินทางกลับบ้านแล้ว
ส่วนคราวหน้า ขอสัญญาว่าจะกลับมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติออบขานกันอีกรอบ ที่สำคัญผมจะจัดเต็มจัดหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว
เอาประมาณว่านอนเต็นท์ค้างแรมซัก 3 คืนติดลำธาร ก็ยังได้เลยครับ คุณผู้อ่านที่เคารพรัก